เมนู

สมบัติเถิด พระองค์อันหม่อมฉันถามแล้ว
ขอจงบอกชาติแก่หม่อมฉันเถิด.

พระพุทธเจ้าตรัสพระคาถาตอบว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ชนบทแห่งแคว้น
โกศล ซึ่งเป็นที่อยู่ข้างหิมวันตประเทศ สม-
บูรณ์ด้วยทรัพย์และความเพียร อาตมภาพ
โดยใครชื่อว่า อาทิตย์ โดยชาติชื่อว่า
ศากยะ ไม่ปรารถนากาม เป็นผู้ออกบวชจาก
สกุลนั้น อาตมภาพเห็นโทษในกามทั้งหลาย
เห็นการบรรพชาเป็นที่ปลอดโปร่ง จักไป
เพื่อความเพียร ใจของอาตมภาพ ยินดีใน
ความเพียรนี้.

จบปัพพชาสูตรที่ 1

อรรถกถามหาวรรคที่ 3


อรรถกถาปัพพชาสูตรที่ 1


ปัพพชาสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ปพฺพชฺชํ กิตฺติยิสฺสามิ ดังนี้.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า พระสูตรนี้การเกิดขึ้นดังต่อไปนี้.

ตอบว่า มีเรื่องเล่าว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระ
เชตวันมหาวิหาร ท่านพระอานนทเถระเกิดปริวิตกว่า การบรรพชาของพระ
มหาสาวกมีพระสารีบุตรเป็นต้นได้รับการสรรเสริญ พวกภิกษุ และอุบาสก
อุบาสิกาทั้งหลาย ทราบเรื่องที่เขาสรรเสริญกัน แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มี
ใครสรรเสริญ ถ้ากระไรเราพึงสรรเสริญเองดังนี้. พระอานนท์นั่งถือพัด
วิชนีอันวิจิตรอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมื่อจะสรรเสริญบรรพชาของพระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงได้กล่าวสูตรนี้ว่า
ปพฺพชฺชํ กิตฺตยิสฺสามิ ยถา ปพฺพชิ จกฺขุมา
ยถา วีมํสมาโน โส ปพฺพชฺชํ สมโรจยิ.
ข้าพเจ้าจักสรรเสริญบรรพชาอย่างที่
พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุทรงบรรพชา ข้าพ-
เจ้าจักสรรเสริญบรรพชา อย่างที่พระพุทธเจ้า
พระองค์นั้นทรงไตร่ตรองอยู่ จึงทรงพอ
พระทัยบรรพชาด้วยดี
ดังนี้.
ความในคาถานั้นมีดังนี้ พระอานนท์กล่าวว่า เพราะอันผู้สรรเสริญ
บรรพชาควรสรรเสริญบรรพชานั้น อย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรพชา
อนึ่ง อันผู้สรรเสริญบรรพชานั้น อย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรพชา ควร
สรรเสริญบรรพชานั้นอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไตร่ตรองอยู่ ทรงพอ
พระทัยบรรพชา ฉะนั้นเราจักสรรเสริญบรรพชา แล้วจึงกล่าวคำมีอาทิว่า
ยถา ปพฺพชฺชิ ดังนี้. บทว่า จกฺขุมา ความว่า ถึงพร้อมด้วยจักษุ 5. บท
ที่เหลือในคาถาต้นง่ายทั้งนั้น.

บัดนี้ พระอานนท์เมื่อจะประกาศความนั้นว่า ยถา วีมํสมาโน จึง
กล่าวว่า สมฺพาโธยํ ฆราวาสนี้คับแคบ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สมฺพาโธ คือหมดโอกาสบำเพ็ญกุศล เพราะ
บีบคั้นด้วยบุตรและภรรยาเป็นต้น เพราะบีบคั้นด้วยกิเลส. บทว่า รชสฺสายตนํ
ความว่า ฆราวาส เป็นที่เกิดของธุลีมีราคะเป็นต้น ดุจนครกัมโพชะเป็นต้น
เป็นที่เกิดของม้าทั้งหลาย. บทว่า อพฺโภกาโส ความว่า บรรพชาปลอดโปร่ง
ดุจอากาศ เพราะตรงกันข้ามกับความคับแคบดังกล่าวแล้ว. บทว่า อิติ ทิสฺวาน
ปพฺพชิ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระทัยอันชราพยาธิและมรณะคอยตัก
เตือนอยู่ด้วยดีในฆราวาสและบรรพชา ทรงเห็นโทษและอานิสงส์แล้ว จึงเสด็จ
ออกมหาภิเนษกรมณ์ เอาพระขรรค์ตัดพระเกศา ณ ฝั่งแม่น้ำอโนมา ทันใด
นั้นมีพระเกศาและพระมัสสุสมควรแก่สมณะตั้งอยู่เพียงสององคุลีทรงรับบริขาร
8 ที่ฆฎิการพรหมน้อมเข้าไปถวาย ไม่มีใคร ๆ สอนว่าพึงนุ่งอย่างนี้ พึงห่มอย่าง
นี้ ทรงศึกษาโดยการสั่งสมในบรรพชาของพระองค์ เป็นไปแล้วหลายพันชาติ
จึงทรงบรรพชา. ท่านอธิบายไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งผ้ากาสาวะผืน
หนึ่ง ทรงห่มผืนหนึ่ง ทรงกระทำจีวรขันธ์ คล้องบาตรดินที่พระอังสา ทรง
อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต. คำที่เหลือในบทนี้มีความง่ายทั้งนั้น.
พระอานนท์ครั้นสรรเสริญการบรรพชาของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้
แล้ว ต่อแต่นี้ไป เพื่อจะประกาศข้อปฏิบัติของบรรพชาและการละฝั่งแม่น้ำ
อโนมา เสด็จไปเพื่อบำเพ็ญเพียร จึงกล่าวคำทั้งหมดมีอาทิว่า ปพฺพชิตฺวาน
กาเยน
ดังนี้.

ในบทเหล่านั้นบทว่า กาเยน ปาปกมฺมํ วิวชฺชยิ ได้แก่ ทรง
เว้น กายทุจริต 3 อย่าง. บทว่า วจีทุจฺจริตํ ได้แก่ วจีทุจริต 4 อย่าง.
บทว่า อาชีวํ ปริโสธยิ ได้แก่ ทรงละมิจฉาชีวะทรงประกอบสัมมาชีวะ.
พระพุทธเจ้าทรงชำระศีลมีอาชีวะเป็นที่ 8 อย่างนี้แล้วได้เสด็จถึงกรุง
ราชคฤห์ ประมาณ 30 โยชน์จากฝั่งแม่น้ำอโนมา โดยเพียง 7 วัน.
พึงทราบวินิจฉัยในบทนั้นว่า อันที่จริงพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้เป็น
พระพุทธเจ้าในขณะที่เสด็จไปกรุงราชคฤห์ นั่นเป็นบุพจริยาของพระพุทธเจ้า
ที่กล่าวอย่างนั้นก็เหมือนคำกล่าวของชาวโลกว่า พระราชาประสูติที่เมืองนี้ ได้
รับราชสมบัติที่เมืองนี้เป็นต้น.
บทว่า มคธาน ท่านอธิบายว่าเป็นนครของชนบทแห่งแคว้นมคธ แม้
บทว่า คิริพฺพชํ นี้ ก็เป็นชื่อของแคว้นมคธนั้น. ก็คิริพชนครนั้นตั้งอยู่ดุจคอก
ในท่ามกลางภูเขา 5 ลูกทีมีชื่อว่า ปัณฑวะ 1 คิชฌกูฏ 1 เวภาระ 1 อิสิคิลิ 1
เวปุสละ 1 เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า คิริพชนคร. บทว่า ปิณฺฑาย อภิหาเรสิ
คือเสด็จไปในนครนั้นเพื่อบิณฑบาต.
มีเรื่องเล่ามาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นประทับยืน ณ ประตูพระนคร
ทรงดำริว่า หากเราจะพึงให้ข่าวการมาของเราแก่พระเจ้าพิมพิสารว่า สิทธัตถ-
กุมาร โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะมา พระเจ้าพิมพิสารก็จะทรงนำปัจจัยมาให้
เรามาก ก็การบอกรับปัจจัยนั้นไม่สมควรแก่สมณะ เอาเถอะ เราจะเที่ยวไป
บิณฑบาต. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห่มผ้าบังสุกุลจีวรที่เทวดาประทานให้ ทรง

ถือบาตรดิน เสด็จเข้าพระนครทางประตูด้านทิศตะวันออก ได้เสด็จเที่ยว
บิณฑบาตตามลำดับเรือน. ด้วยเหตุนั้นท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต.
บทว่า อากิณฺณวรลกฺขโณ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระ
ลักษณะงามดำรงอยู่ หรือมีพระลักษณะประเสริฐมากมายดุจกระจายไปทั่วพระ
วรกาย. แม้ความไพบูลย์ ท่านก็เรียกว่า อากิณฺณํ คือกระจายไป. ดังที่ท่าน
กล่าวว่า คนโลภมาก สกปรกเหมือนผ้าพี่เลี้ยง (เปื้อนด้วยอุจจาระปัสสาวะ).
อธิบายว่า โลภจัด.
บทว่า ตมทฺทส ความว่า ได้ยินว่าในพระนครได้มีการโฆษณาเล่น
นักษัตรตลอด 7 วันก่อนจากนั้น. แต่ในวันนั้นตีกลองเที่ยวประกาศว่า นัก-
ขัตฤกษ์ล่วงเลยไปแล้ว ควรประกอบการงานกันเถิด. ครั้งนั้นมหาชนประชุม
กันที่พระลานหลวง. แม้พระราชาก็ทรงดำริว่า เราจักเตรียมการงาน ทรง
เปิดสีหบัญชรทอดพระเนตรดูหมู่กำลังพล ได้ทรงเห็นพระมหาสัตว์เสด็จออก
บิณฑบาต ด้วยเหตุนั้นท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า พระเจ้าพิมพิสารประทับ
อยู่บทปราสาท ได้ทอดพระเนตรเห็นพระผู้ทีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
บัดนี้ พระอานนท์เมื่อจะแสดงพระราชดำรัสที่พระเจ้าพิมพิสารตรัส
แก่อำมาตย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า อิมํ โภนฺโต ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อิมํ ได้แก่ พระราชานั้นทรงแสดงถึงพระโพธิ-
สัตว์. บทว่า โภนฺโต ทรงเรียกพวกอำมาตย์. บทว่า นิสาเมถ แปลว่า
จงดู. บทว่า อภิรูโป คือมีพระรูปน่าดู. บทว่า พฺรหา คือสมบูรณ์ด้วย
ส่วนสูงและส่วนกว้าง. บทว่าสุจิ คือมีพระฉวีวรรณบริสุทธิ์. บทว่า จรเณน
คือด้วยการดำเนินไป.

บทว่า นีจกุลามิว ความว่า ภิกษุรูปนี้หาเหมือนผู้บวชจากสกุลต่ำ
ไม่. อักษร เป็นบทสนธิ. บทว่า กุหึ ภิกฺขุ คมิสฺสติ ความว่า พระ
เจ้าพิมพิสารตรัสโดยมีพระประสงค์ว่า พวกราชทูตจงรีบไปเพื่อรู้ว่า ภิกษุรูปนี้
จักไปไหน วันนี้จักอยู่ ณ ที่ไหน เพราะเราประโยคสงค์จะเห็นภิกษุรูปนั้น.
บทว่า คุตฺตทฺวาโร คือทรงคุ้มครองทวารสำรวมดีแล้วด้วยพระสติ
เพราะมีจักษุทอดลง หรือทรงคุ้มครองทวารด้วยสติ คือสำรวมด้วยดี ด้วยการ
ครองสังฆาฎิ และจีวรน่าเลื่อมใส. บทว่า ขิปฺปํ ปตฺตํ อปูเรสิ ได้แก่
ได้ทรงยังบาตรให้เต็มเร็วโดยบริบูรณ์ ด้วยพระอัธยาศัยว่า ไม่รับเกินไป หรือ
เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพราะมีสติสัมปชัญญะ.
บทว่า มุนี ความว่า ชื่อว่ามุนี เพราะปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้ฉลาด
อีกอย่างหนึ่ง กล่าวโดยโวหารของชาวโลกว่า แม้ยังไม่ถึงความเป็นผู้ฉลาด ก็
เป็นมุนี. เพราะชาวโลกทั้งหลายกล่าวถึงนักบวชที่ยังไม่ถึงพร้อมด้วยความฉลาด
ว่าเป็นมุนี. บทว่า ปณฺฑวํ อภิหาเรสิ ได้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จขึ้นไป
ยังภูเขาปัณฑวะ. ได้ยินว่า ราชทูตถามพวกมนุษย์ว่า ที่นครไม่มีบรรพชิตอยู่
ที่ไหน. พวกมนุษย์จึงบอกแก่เขาว่า มีภิกษุรูปหนึ่งอยู่ที่เงื้อมเขาด้านทิศตะวัน-
ออก บนเขาปัณฑวะ เพราะฉะนั้นพระราชาจึงเสด็จขึ้นไปยังภูเขาปัณฑวะนั้น.
ทรงดำริอย่างนี้ว่า ณ ภูเขานี้คงจักเป็นที่อยู่.
บทว่า พยคฺฆุสโภว สีโหว คิริคพฺภเร คือ เหมือนเสือโคร่ง
เหมือนโคอุสุภราช และเหมือนราชสีห์ อาศัยอยู่ในถ้ำภูเขา. เพราะสัตว์ทั้ง 3
เหล่านี้เป็นสัตว์ประเสริฐที่สุด ไม่กลัวภัย อาศัยอยู่ในถ้ำ เพราะฉะนั้น ราชทูต
จึงได้เปรียบเทียบอย่างนี้.

บทว่า ภทฺรยาเนน คือด้วยยานอันสูงสุด มียานช้าง ม้า รถและวอ
เป็นต้น.
บทว่า ส ยานภูมึ ยายิตฺวา คือ เสด็จไปตลอดพื้นที่สามารถจะเสด็จ
ไปด้วยยาน มีช้างและม้าเป็นต้น. บทว่า อาสชฺช คือ ถึงแล้ว. อธิบายว่า
เสด็จไปใกล้ภูเขานั้น . บทว่า อุปาวิสิ คือ ประทับนั่ง.
บทว่า ยุวา คือ ยังเป็นหนุ่ม. บทว่า ทหโร คือ เป็นหนุ่มโดยชาติ.
บทว่า ปฐมุปฺปตฺติโต สุสู ท่านยังเป็นหนุ่มแน่นตั้งแต่ปฐมวัย นี้เป็น
วิเสสนะของทั้งสองบทนั้น. บทว่า ยุวา สุสู คือเป็นหนุ่มมาตั้งแต่ปฐมวัย.
บทว่า ทหโร จาปิ คือเมื่อยังมีความเป็นหนุ่ม ย่อมปรากฏเหมือนหนุ่ม
อ่อน. บทว่า อณีกคฺคํ ได้แก่ หมู่พลพร้อมหน้า. ในบทว่า ททามิ โภเค
ภุญฺชสฺสุ
นี้ พึงทราบการเชื่อมความอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าจะให้โภคสมบัติใน
แคว้นอังคะมคธะแก่ท่านเท่าที่ท่านต้องการ ท่านยังหมู่พลให้งดงาม แวดล้อม
ด้วยหมู่ผู้ประเสริฐ ขอจงบริโภคสมบัติเถิด.
บทว่า อุชุ ชนปโท ราชา ความว่า นัยว่า ครั้นพระราชาตรัสว่า
ข้าพเจ้าจะให้โภคสมบัติ ขอท่านจงบริโภคโภคสมบัติเถิด ข้าพเจ้าถาม ขอท่าน
จงบอกชาติกำเนิดแก่ข้าพเจ้าเถิด พระมหาบุรุษทรงดำริว่า หากเราพึงปรารถนา
ราชสมบัติ แม้ทวยเทพชั้นจาตุมมหาราชิกาเป็นต้น ก็จะพึงนิมนต์เรา ด้วย
ราชสมบัติของตน อีกอย่างหนึ่ง เราตั้งอยู่ในเรือนก็จะพึงครองราชสมบัติเป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ แต่พระราชานี้ไม่รู้จักเราจึงตรัสอย่างนั้น เอาเถิดเราจะให้
พระราชาทรงรู้จักเรา จึงทรงเปล่งพระวาจา แจ้งถึงทิศทางที่พระองค์เสด็จมา
ตรัสว่า อุชุ ชนปโท ราชา ดังนี้เป็นอาทิ. พระมหาบุรุษเมื่อตรัสว่า

หิมวนฺตสฺส ปสฺสโต ข้างหิมวันตประเทศ ทรงแสดงถึงความไม่ขาดแคลน
ข้าวกล้าและสมบัติ. เพราะว่า แม้ศาลาใหญ่มีช่องหินอาศัยหิมวันตประเทศ
ก็เจริญด้วยความเจริญห้าอย่าง จะกล่าวไปทำไมถึงข้าวกล้าที่หว่านลงในนา.
พระมหาบุรุษเนื้อตรัสว่า ธนวิริเยน สมฺปนฺโน สมบูรณ์ด้วยทรัพย์และความ
เพียร จึงทรงแสดงถึงความไม่ขาดแคลนด้วยรัตนะ 7 และความที่มีวีรบุรุษ
มากมาย ซึ่งราชศัตรูไม่ล่วงล้ำได้ถวายให้พระราชาทรงทราบ. พระมหาบุรุษ
เมื่อตรัสว่า โกสลสฺส นิเกติโน ชนบทแห่งแคว้นโกศลเป็นที่อยู่ดังนี้ ทรง
ปฏิเสธความเป็นพระราชาองค์ใหม่. เพราะพระราชาองค์ใหม่ท่านไม่เรียกว่า
นิเกตี. ชนบทอันเป็นที่อยู่อาศัยโดยสืบต่อกันมาตั้งแต่ต้น ท่านจึงเรียกว่า
นิเกตี เป็นที่อยู่ พระมหาบุรุษตรัสว่า โกสลสฺส นิเกติโน ทรงหมายถึง
พระเจ้าสุทโธทนะ. ด้วยเหตุนั้นพระมหาบุรุษทรงแสดงถึงโภคสมบัติที่ตกทอด
กันมา.
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้พระมหาบุรุษทรงแสดงถึงโภคสมบัติของพระองค์
และทรงบอกชาติสมบัติด้วยบทนี้ว่า อาตมภาพโดยโคตรชื่ออาทิตย์ โดยชาติชื่อ
ศากยะ เมื่อจะทรงปฏิเสธพระดำรัสที่พระราชาตรัสว่า ข้าพเจ้าจะให้โภคสมบัติ
ขอท่านจงบริโภคโภคสมบัติเถิด ดังนี้. จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพ
บวชจากตระกูลนั้นไม่ปรารถนาราชสมบัติ ดังนี้. ผิว่า อาตมภาพพึงปรารถนา
สุขก็จะไม่ทอดทิ้งตระกูลอันมากมายด้วยวีรบุรุษแปดหมื่นสองพัน สมบูรณ์ด้วย
ทรัพย์และความเพียรเช่นนี้เลย นัยว่า นี้เป็นอธิบายในข้อนี้.
พระมหาสัตว์ ครั้นทรงปฏิเสธคำทูลของพระราชาอย่างนี้แล้ว ต่อจาก
นั้นเมื่อจะทรงแสดงถึงเหตุแห่งการบรรพชาของพระองค์ จึงตรัสว่า อาตมภาพ

เห็นโทษในการทั้งหลาย เห็นบรรพชาเป็นที่ปลอดโปร่ง. ควรเชื่อมด้วยบทนี้ว่า
เอวํ ปพฺพชิโตมฺหิ อาตมภาพจึงบวชด้วยเหตุนี้. ในบทเหล่านั้นบทว่า
ทฏฺฐุ แปลว่า เห็นแล้ว. บทที่เหลือในสูตรนี้พึงทราบว่า ในคาถาต้นจาก
คาถานี้ บททั้งปวงที่ยังมิได้วิจารณ์มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น จึงไม่วิจารณ์.
พระมหาสัตว์ ตรัสเหตุแห่งบรรพชาของพระองค์อย่างนี้แล้ว มีพระ
ประสงค์จะเสด็จไปเพื่อประโยชน์แก่ความเพียร เมื่อจะตรัสบอกพระราชา จึง
ตรัสว่า อาตมภาพจักไปเพื่อความเพียร ใจของอาตมภาพยินดีในความเพียรนี้
ดังนี้.
อธิบายความของบทนั้นว่า มหาบพิตร เพราะอาตมภาพเห็นบรรพชา
เป็นที่ปลอดโปร่ง จึงออกบวช ฉะนั้น อาตมภาพปรารถนาบรรพชาอันมีประ-
โยชน์อย่างยิ่งนั้น เป็นอมตนิพพาน อันชื่อว่า ปธานะ เพราะเลิศกว่าธรรมทั้ง
ปวง จักไปเพื่อประโยชน์แก่ความเพียร ใจของอาตมภาพยินดีในความเพียรนี้
ดังนี้.
เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์ว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ หม่อมฉันได้ยินมาก่อนแล้วว่า ได้ยินว่า สิทธัตถกุมาร
โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงเห็นบุรพนิมิต 4 ประการ ออกบวชจักเป็น
พระพุทธเจ้า ดังนี้ ข้าแต่พระคุณเจ้า หม่อมฉันเห็นอัธยาศัยของพระองค์จึง
เลื่อมใสอย่างนี้ พระองค์จักบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดีแล้วพระเจ้า
ข้า พระองค์บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอเชิญเสด็จมาเยี่ยมแคว้นของ
หม่อมฉันก่อนเถิด.
จบอรรถกถาปัพพชาสูตรที่ 1 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

ปธานสูตรที่ 2


ว่าด้วยความเพียรใหญ่


[355] มารได้เข้ามาหาเรา ผู้มีตน
ส่งไปแล้วเพื่อความเพียร บากบั่นอย่างยิ่ง
เพ่งอยู่ ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อ
บรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ กล่าววาจา
ด้วยเอ็นดูว่า ท่านผู้ซูบผอม มีผิวพรรณเศร้า-
หมอง ความตายของท่านอยู่ในที่ใกล้.
เหตุแห่งความตายของท่านมีตั้งพัน
ส่วน ความเป็นอยู่ของท่านมีส่วนเดียว ชีวิต
ของท่านผู้ยังเป็นอยู่ประเสริฐกว่า เพราะว่า
ท่านเป็นอยู่ จักกระทำบุญได้.
ท่านประพฤติพรหมจรรย์ และบูชา
ไฟอยู่ ย่อมสั่งสมบุญได้มาก ท่านจักทำ
ประโยชน์อะไรด้วยความเพียร ทางเพื่อ
ความเพียรพึงดำเนินไปได้ยาก กระทำได้
ยาก ให้เกิดความยินดีได้ยาก มารได้ยืน
กล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนักของพระพุทธเจ้า.